ความเดิมตอนที่แล้ว
ยังมีเนื้อหาสาระน่าสนใจอีก มาติดตามกันในตอนนี้ครับ
จิตอุปมา เหมือนแผ่นซีดีรอม
อยากให้จินตนาการว่า ที่กลางอกกลางตัวของตัวเราแต่ละคนมีแผ่นซีดีรอมอยู่ 1 แผ่น ตรงกลางแผ่นจะเห็นรูโบ๋ ว่าง ๆ และที่ขอบข้าง ๆ เป็นเนื้อที่บันทึกความจำ
ตัวเราจริง ๆ แล้วก็คือจิต คือแผ่นซีดีนี่แหละ ร่างกายเป็นแค่หุ่นยนต์ จิตคือคนขับหุ่นยนต์ เราก็คือเรา กายก็คือกาย ที่เป็นทุกข์กันเพราะเราเข้าใจผิด นึกว่ากายคือตัวเรา ไปยึดไปถือมันไว้ กายเป็นเครื่องอาศัยซึ่งจะเหี่ยวย่นพังไปตามสภาพการใช้งาน
การเข้าโรงพยาบาลคือการเข้าอู่ซ่อม เมื่อกายป่วยก็ต้องใช้หมอ อย่าไปเถียงหมอ อย่าทำตัวเป็นหมอ เราไม่ได้เรียนหมอมา ให้หมอท่านทำตามที่ท่านเรียนมาเถอะ เราก็รักษาจิตของเราไว้
ตัวกำหนดให้เป็นโน่นนี่ ก็อาการของจิตเรานี่แหละ
การที่เราฝึกจิตให้ว่าง ๆ เพื่อให้แผ่นซีดีนี้บันทึกแต่ความว่าง ๆ จิตว่าง ๆ ไม่มีอกุศลก็ไม่ต้องไปนรก ไม่มีกุศลก็ไม่ต้องไปสวรรค์ ว่าง ๆ ไปสู่นิพพาน
ตัวที่รู้วาระจิต อาการของจิตนี่แหละเรียกว่า สติ
ตัวแสบที่ชอบชวนให้จิตเกิดอาการ คือ ความคิดจร
ตัวการทำให้จิตเกิดแล้วไม่สงบสักที คือ ความคิดขยะ
จิตก่อนตาย สำคัญแค่ไหน
ก่อนจะไปประเด็นเรื่องของจิตนั้น อยากเชิญชวนให้เข้าใจเรื่องพื้นฐานที่ชื่อว่า กรรม กันก่อน
- ครุกรรม (กรรมหนัก เช่น ฆ่าพ่อแม่ ) กรรมนี้จะส่งผลก่อนเลย ไม่เกี่ยวข้องกับจิตใด ๆ
- อาจิณกรรม (กรรมที่ทำบ่อย จนเป็นสันดาน) เป็นตัวส่งผลรองลงมาจาก กรรมหนัก และเป็นผลก่อนจิตสุดท้าย
- อาสัณกรรม (กรรมสุดท้าย จิตสุดท้าย) เป็นตัวท้ายที่จะเป็นผล ถ้าไม่มีสองกรรมข้างต้นแล้ว
สมมติถ้าจิตเป็นลูกบอลที่กลางใจ ส่วนสติคือมือที่อยู่ใต้คางมีเอาไว้รับรู้แรงกระเด้งของลูกบอล เป้าหมายการนิพพานก็คือ จิตไม่กระเด้ง จิตว่าง ๆ ครับ
เราทำจิตให้ว่าง ๆ เป็นประจำ เราก็ไม่ต้องไปห่วงจิตสุดท้าย มีอาจิณกรรมที่เข้มข้นจากการภาวนา ชนะจิต ถ้าเราป่วย ก็ถือเป็นโอกาสได้ดูจิต ทำจิตว่าง เป็นทั้งอาจิณกรรมและเป็นอาสันนกรรม
จิตที่ว่างก่อนตาย ก็ไปนิพพานครับ ไปอย่างมีสติ จิตไม่แตกกระจายหลงไปที่ไหน สติเป็นคนนำทางเข้าสู่นิพพาน
สอนตั้งนาน ดันมาติดบุญ
การทำบุญมีหลายระดับ จากระดับเล็ก ๆ น้อย ๆ คือ ทำบุญด้วยวัตถุทาน ให้โน่น ถวายนี่ สร้างโน้น สร้างนี้ ซึ่งถ้าจะให้ดี ให้ทำใกล้ ๆ ตัว ทำหน้าที่ของตนให้บริบูรณ์ เป็นลูกก็ช่วยพ่อแม่ เป็นเจ้านายก็ดูแลบริวารให้ดีก่อน
ทำบุญที่ได้บุญมาก ๆ ไม่ต้องไปทำที่ไหนไกล คือทำที่ใจ ทำที่ในใจในกายของเรานี่แหละ ก็ภาวนา มีสตินี่แหละ ทำจิตให้ว่าง ชั่วระยะเวลาหนึ่งสั้น ๆ เท่างูแลบลิ้น ก็ได้บุญเท่ากับสร้างเจดีย์เจ็ดองค์นะครับ
ถ้ามีคนยั่วให้เราโกรธ มาทำให้เราโกรธ เรารีบดูจิต รู้เท่าทันความคิดขยะ และข่มดับมัน ค่อยเอาจิตว่าง ๆ เอาสติ ไปคิดไปทำงานแทน เราก็จะให้อภัยได้ เราทำงานหรือทั้งวันหรือนอนป่วยอยู่ เราก็ให้อภัยคนที่ทำเราเจ็บ ให้อภัยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล คนเฝ้าไข้ ภรรยา สามี ลูกหลานของเรา วัน ๆ หนึ่ง เรามีโอกาสได้ให้อภัยมากมายแค่ไหน เป็นโอกาสในการทำปฏิบัติบูชาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ก็ทำบุญให้ครบทุกรูปแบบตามโอกาสอำนวย และดูจิตเอาไว้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยามตื่นและยามหลับ
ก่อนจะตาย
ช่วงที่ผู้ป่วยใกล้จะเสียชีวิต คนเฝ้าไข้ก็อย่าร้องไห้ เพราะการร้องไห้ทำให้จิตเป็นอกุศล จะดึงให้คนป่วยจิตตกเป็นอกุศลตามไปด้วย ควรทำจิตให้สงบ อย่าให้ความคิดขยะเกิดออกมา คิดดี ๆ ไว้ ทำใจสบาย ๆ
คนที่จะอยู่กับคนป่วยจนวาระสุดท้ายต้องมีสติดูจิตไว้ อย่าหลงความคิด ตามดูจิตไม่ชัดไม่ทันก็ดูกายก็ได้ ก่อนร้องไห้จะมีอาการอึดอัดที่อก ที่คอ น้ำลายจะเริ่มเหนียว ตอนนี้ต้องข่มดับความคิดบ้า ๆ ที่ชวนให้เศร้า เอาความคิดดีดี ที่ปลงปลง อนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยง มาสอนใจตน ถ้าไม่ทันก็ดูลมหายใจเข้าออกของเราเอง
ดับ ความคิด
เมื่อจิตมันเกิดแรง กำลังสติเรายังไม่มากพอที่จะตามดู ดับมันลงไปเลย กลับมาดูลมหายใจ