ความเดิมตอนที่แล้ว
ส่วนนี้ผมรู้สึกถึงความพิเศษมาก ๆ มาติดตามกันครับ
คำแนะนำสำหรับคนป่วยและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
- อย่าตั้งคำถามซ้ำ ๆ เปลี่ยนมาคุยเรื่องดี ๆ สนุก ๆ กันคนไข้บ้าง ถ้าจำเป็นต้องถามจริง ๆ ควรถามแบบสร้างสรรค์
- อนุโมทนาบุญ ผู้มาเยี่ยมไข้เล่าเรื่องการสร้างกุศล ทำประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้ทำมา ให้คนไข้ได้ฟัง ได้มีโอกาสร่วมทำจิตเป็นกุศลไปด้วย อนุโมทนาบุญไปด้วย แม้ตัวจะไม่ได้ไปทำเองก็ตาม
- เลี่ยงของฝากไร้ประโยชน์และซ้ำ ๆ โดยติดต่อไปก่อนว่า “ขาดเหลืออะไรไหม ? ต้องการอะไรเพิ่มไหม ?” และจัดเตรียมก่อนเข้าไปเยี่ยม และเลี่ยงของเยี่ยมไข้ที่ส่งกลิ่นฉุน กลิ่นแรง เพราะจะสร้างความเดือดร้อนต่อตัวคนไข้เอง คนไข้อื่น ๆ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
- อย่าข่มเหงใจคนไข้ ไม่เอาความคิดของคนเยี่ยมคนเฝ้าไข้ ไปคิดแทนคนป่วย (ร้อนแทนคนป่วย หนาวแทนคนป่วย นั่นอร่อย นี่ไม่อร่อย แทนคนป่วย) เพราะคนป่วยก็จิตเกิดจากอาการทางกายมากแล้ว
- ดูจิต โดยเอาเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ที่เข้ามาเป็นแบบฝึกดูจิต และข่มดับด้วยสติ
- ใช้นิ้วเดินจงกรม ถ้าป่วยจนไม่สามารถเดินเหินได้สะดวก ก็ใช้นิ้วมือ บริกรรมตามจังหวะ หรือไม่ก็ใช้ลมหายใจของคนป่วยเอง บริกรรมตามจังหวะ
- สอนคนไข้บ้าง แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล สามารถให้ข้อมูลกับคนไข้ คนเฝ้าคนเยี่ยม เพื่อให้ขั้นตอนการรักษา และเตรียมตัวต่าง ทำได้อย่างมีประสิทธภาพ
- เล่นละคร ทั้ง คนไข้ คนเยี่ยม คนเฝ้า แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล คิดเสียว่า บทบาทหน้าที่ตรงหน้า เป็นละคร ทำตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมาให้ดีที่สุด เพื่อเป็นกุศลกรรม และเป็นการฝึกความฉลาดทางอารมณ์ไปด้วย
- สอนสติคนเฝ้าไข้ เช่น ช่วงที่คนเฝ้าไข้กำลังงัวเงีย ให้บริกรรมการเดินตามจังหวะจนเริ่มรู้ตัว ก่อนที่จะหยิบจับทำอะไรต่อไป คนสอนก็ต้องมีสติ และเมตตาเขามาก ๆ
- สวดมนต์ เช่น บทขอขมา บทแผ่เมตตา และอื่น ๆ
- อย่าไปเครียด กับการดูทีวี อ่านข่าว ดูผ่าน ๆ อย่าไปยึดโยงอะไรกับมันเลย ทางที่ดีคือ หาดูสิ่งที่สบาย ๆ ตลก ๆ
- นอนกลางวัน ตื่นกลางคืน คนไข้ส่วนมาก ถูกให้นอนมาทั้งวันแล้ว จะมาตื่นช่วงดึก เป็นเรื่องปกติ ส่วนคนทำงาน ก็จะตื่นช่วงกลางวันทำนั่นโน่นนี่ แล้วจะเหนื่อย ๆ ล้า ๆ ในยามกลางคืน ความต่างตรงนี้ก็พยายามเข้าใจกันและกันนะ เมตตาต่อกัน ถือเป็นโอกาส ฝึกสะสมสติ กันนะ
- ญาติอย่ากดดัน พูดจากันดีดี ไม่กดดันเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จะได้ไม่ผูกจิตลบต่อกัน
- มารยาทการเยี่ยม ด้วยเรื่องพื้นฐาน เช่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น เลี่ยงอาหาร ของเยี่ยมไข้ที่ส่งกลิ่นแล้ว ก็ควรรู้ เวลากินเวลานอนของคนไข้ด้วย และไม่ควรอยู่นานโดยไม่จำเป็น
- คนป่วยอย่ากดดันใคร ๆ ทำอารมณ์ดีดีไว้ กายที่เจ็บก็ถือเป็นแบบฝึกหัดดูจิต ทำจิตให้โล่ง ๆ สบาย ส่งผ่านเมตตาให้คนรอบตัว
- อย่าทำตัวเป็นหมอ ผู้ป่วยและผู้รักษาต้องทำงานกันเป็นทีม แต่ละคนรับบทบาทหน้าที่ทำตามความชำนาญกันไป เมตตาต่อกันให้มาก ๆ
- อย่าเร่งคนไข้ สื่อสารในสิ่งที่ต้องการให้คนไข้เคลื่อนไหวบ่อย ๆ (เพื่อผลการรักษาที่ดี) ด้วยความเข้าใจ
- อย่าอยู่นิ่ง ๆ ทำตามที่แพทย์ส่ง ไม่ขาด ไม่เกิน และสื่อสารความคืบหน้าเสมอ ๆ
- ยกวัดมาไว้ที่ใจ เมื่อจิตเกิด ก็ยกวัดมาไว้ที่ใจ วัดจิตวัดใจเราเอง ว่ารู้ทันไหม ข่มดับได้ไหม สะสมแต้มสติไป จนได้สติอัตโนมัติ เตรียมเข้านิพพาน
- เราไม่ได้เกิดมาชดใช้กรรมเก่า เพราะกรรมเก่าไม่ได้มีไว้ชดใช้ กรรมเก่ามีไว้ฝึกสติ